ดูถ่ายทอดสด "อัพเดตทุกเรื่องราวข่าวสารวงการไก่ชน ดูถ่ายทอดสดไก่ชน ครบทุกสนาม ทีเด็ดไก่ชน อัพเดทข่าวไก่ชนทุกประเด็นที่น่าสนใจ แหล่งความรู้สาระเรื่องที่เป็นประโยชน์ผู้เลี้ยงไก่ชน"

ไฮไลท์ไก่ชนล่าสุด

B1
ADS B2
ADS B3
ADS B4
หน้าหลัก บทความไก่ชน เตือนภัย ดื่ม "กาแฟ" มากเกินไป เสี่ยง "สมองเสื่อม"

เตือนภัย ดื่ม "กาแฟ" มากเกินไป เสี่ยง "สมองเสื่อม"

วันเสาร์ 13 พฤศจิกายน 2564 ยอดเข้าชม 98
SHARE ON:

 

 


แบ่งปันเกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพทั้งโรคภัยไข้เจ็บ วิธีออกกำลังกาย เคล็ดลับลดน้ำหนัก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง อยู่กินของอร่อยไปได้อีกนาน ๆ

ดื่มกาแฟมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้

หลายคนที่เป็นคอกาแฟอาจชื่นชอบในรสชาติ และการได้ตื่นตัวสดชื่นกระปรี้กระเปร่าจากเครื่องดื่มรสขมแต่กลิ่นหอมกรุ่นอุ่นๆ ทุกเช้า แต่การดื่มกาแฟมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้

งานวิจัยที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ Nutritional Neuroscience เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2564 ระบุว่า เราไม่ควรดื่มกาแฟมากกว่า 5-6 แก้วต่อวัน เพราะอาจทำร้ายสมองได้ โดยรวบรวมข้อมูลจากคนราว 400,000 คนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ (ทั้งแบบมีคาเฟอีน และแบบดีแคฟ ไม่มีคาเฟอีน) แบ่งกลุ่มทดลองออกเป็นหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่ดื่มแก้วเดียว ไปจนถึงกลุ่มที่ดื่มมากถึง 6 แก้วต่อวัน และนำคนประมาณ 18,000 คนมาสแกนสมองผ่านเครื่อง MRI

หลังจากติดตามข้อมูลอยู่นาน 11 ปี นักวิจัยพบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ดื่มกาแฟน้อยกว่า (1-2 แก้วต่อวัน) แล้ว คนที่ดื่มกาแฟหนัก (มากกว่า 6 แก้วต่อวัน) มีความเสี่ยงที่จะมีขนาดสมองเล็กลงมากกว่า โดยเฉพาะสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (hippocampus) ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่รักษาความทรงจำทั้งระยะสั้นและระยะยาว

คนที่ดื่มกาแฟหนักยังมีความเสี่ยงต่อการถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าคนที่ดื่มกาแฟเพียงเล็กน้อยถึง 53% โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นกาแฟแบบมีคาเฟอีน หรือไม่มีคาเฟอัน (ดีแคฟ) ก็ตาม

แม้ว่านักวิจัยจะยังไม่พบหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นเพราะเหตุใดกาแฟถึงเข้าไปทำลายสมองส่วนของความจำได้ แต่นักวิจัยชี้ว่า กาแฟอาจมีแคเฟสทอล (cafestol) หรือโมเลกุลในกาแฟที่อาจส่งผลให้คอเลสเตอรอลในร่างกายสูงขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยไม่ได้แนะนำให้หยุดดื่มกาแฟอย่างเด็ดขาดไปเลย แต่ควรลดปริมาณลงโดยดื่มไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน และไม่ควรดื่มหลัง 16.00-17.00 น. เพื่อไม่ให้ฤทธิ์ของคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟรบกวนการนอนหลับ

 

 

 

 

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :Harvard Health Publishing

ภาพ :iStock
 

ADS Fix3
ADS Fix5